เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๒ มิ.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ ถ้าเป็นประเพณีโบราณนะ เขาจะหยุด ราชการหยุดวันพระ เห็นไหม วันโกนวันพระ แต่เพราะโลกไง เราไปหยุดเสาร์อาทิตย์ตามโลกเขา เพราะฉะนั้นวันเสาร์อาทิตย์เลยเป็นวันว่าง วันพระเป็นวันราชการ ถ้าวันพระเป็นวันราชการ แต่คนถ้ามีหัวใจนะ มีหัวใจมันก็ต้องขวนขวายทำจนได้แหละ เพราะวันพระเห็นไหม วันพระวันโกนเป็นวันหยุด ดูสิ เพราะอะไร? เพราะว่าเวลาวันพระนะ ทำไมทำบุญได้มากกว่าวันปกติล่ะ ทำบุญวันพระได้มากกว่าวันปกตินะถ้าวันปกติทั่วไป ทำบุญก็ทำบุญกันเฉยๆ

แต่วันพระ เวลาเรานี่ ในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ ในภัทรกัปนี้ จะมีพระศรีอริยเมตไตรยต่อไป แล้วพระพุทธเจ้ามาเผยแผ่ศาสนา วางศาสนาไว้นี่ ผู้ที่ทำบุญกุศลเห็นไหม เขาเข้าใจถึงบุญกุศลของเขา เวลาเทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น เทศน์ครูบาอาจารย์ ทำไมเทศน์ภาษาบาลี เทศน์ภาษาเดียวกันล่ะ ภาษาใจภาษาเดียวกันนะ แล้วเวลาภาษาใจภาษาความรู้สึก แต่เวลาเป็นภาษาสมมุติ เห็นไหม เพราะอะไร? เพราะเราต้องสื่อความหมายกับเขา สื่อความหมายกับเขานี่ ต้องการฟังเทศน์กัณฑ์ไหน ก็นึกเป็นภาษาบาลีขึ้นมา นี่ภาษาของใจ ภาษานี้เป็นภาษาสากล

เหมือนกัน คนเราเกิดเราตายในวัฏฏะ วันเกิดวันตายเคยทำบุญกุศลนี่ วันพระจะได้ลาภไง เราทำบุญกุศลนะ เราออกจากบ้านมา เรามีเสบียงมาพร้อม เราจะเดินทางได้ไกลขนาดไหนก็ได้ เพราะเสบียงเราพร้อม คนที่เขาอัตคัดขาดแคลน เขาไม่มีเสบียงของเขา เขาก็ต้องอาศัย เห็นไหม

ดูสิ เวลาไปตามถนน คนที่เขาไม่มีรถเขาโบกรถ ขอไปด้วยๆ คนที่มีรถก็วิ่งไปตามสบาย สะดวกสบาย คนที่ไม่มีรถก็ต้องขออาศัยเขาไป ผู้ที่ทำบุญกุศล มีบุญกุศลก็เป็นบุญกุศลพาไป ถ้าขาดบุญกุศล เห็นไหม เขาอยู่ตาม ๓ แยก ตาม ๓ แพร่งต่างๆ เขาจะรอบุญกุศลอันนี้ วันพระวันโกนทำบุญได้บุญอย่างนี้ไง ถ้าได้บุญไม่เหมือนปกติหรอก เห็นไหม

เวลาทางโลกเขาคิดกัน โลกกับธรรมไม่เหมือนกัน ธรรมคือการเสียสละ ธรรมคือความเสมอภาค ธรรมคือสัจจะความจริง ธรรมคือความรู้สึก คือความเมตตากัน แต่โลกนะ โลกคือการสะสม โลกคือการแสวงหา โลกคือการเอารัดเอาเปรียบ เห็นไหม ถ้าคิดว่าเราทำบุญด้วยโลก วันพระวันอาทิตย์เราไม่ทำบุญกันนะ เพราะอะไร? เพราะทำบุญแล้วพระมีอาหารเหลือเฟือเลย ถ้าวันปกติพระขาดแคลนอาหาร เราคิดด้วยความเห็นของเรา ด้วยกิเลสพาคิด เราเลยขาดสิ่งที่ควรจะได้ไป

ถ้าเราทำของเรา เราได้ของเรา เวลาอาหารเราตักใส่ปากของเรา มันจะเป็นความรู้สึกรสชาติของเรา มันจะอิ่มท้องของเรา แต่ถ้าเราไม่ตักอาหารใส่ปาก เห็นไหม ตักอาหารใส่ปากทุกวันเลย เว้นไว้เสาร์อาทิตย์ วันพระเราไม่ตักอาหารใส่ปาก เพราะคนเขาตักกันมากแล้ว โลกคิดกันอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นผู้ที่เคยฟังเทศน์ฟังธรรม เห็นไหม จะเข้าใจเลยว่า วันพระวันโกน สิ่งนี้ทำบุญแล้ว สิ่งที่เราอุทิศส่วนกุศลไปนี่ เราทำแล้ว ออกจากเราเสียสละไป

สิ่งนี้ ไฟฟ้าเขาจะใช้งานกัน พลังงานเขาต้องมีเครื่องฉนวนนำไป นี่ก็เหมือนกัน บุญกุศลเกิดจากไหนล่ะ การเสียสละนี่วัตถุสิ่งของที่เราเสียสละไปมันเป็นฉนวนนำไปเฉยๆ นะ มันเป็นฉนวนนำไปเพราะอะไร? เพราะหัวใจเราได้เสียสละออกไป พอเสียสละออกไป หลุดออกจากมือเราไป อันนี้มันเกิดความพอใจ เกิดความอิ่มใจของเรา ความอิ่มใจความพอใจ ใจถึงใจ อุทิศส่วนกุศลอยู่ตรงนี้

ถ้าอุทิศส่วนกุศลด้วยวัตถุนะ โกดังข้าวสาร โกดังคลังสินค้า เขาอุทิศได้มหาศาลเลย เพราะอะไร? เพราะดูท่าเรือสิ สินค้ามหาศาลเลย อุทิศได้ไหมล่ะ เขาไม่อุทิศ เขาขาย เขาเป็นธุรกิจของเขา แต่ของเราเสียสละ จะเล็กจะน้อย จะข้าวสารเม็ด ๒ เม็ดก็แล้วแต่ แต่เราอุทิศของเราไป ความรู้สึกอันนี้ต่างหากที่เราอุทิศส่วนกุศลกัน ใจถึงใจไง

เวลาญาติเราเสียไป เห็นไหม เราคิดถึง เราคิดถึงของเรา ถ้าเราคิดถึงญาติของเรา เราคิดถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรา แล้วเราทำคุณงามความดี คิดถึงพ่อ พ่ออยู่กับเจ้า เพราะอะไร? เพราะความรู้สึกนี้ไง คิดถึงเขา คิดถึงญาติของเรา เขาอยู่กับเรา เขาอยู่กับความรู้สึกนี้ ความรู้สึกมันถึงกัน แล้วคิดถึง ทำคุณงามความดีถึงกัน ต่างทำความพอใจเหมือนกัน แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม อทาสิ เม อกาสิ เม เวลาเทศน์ อย่าเสียใจ อย่าร้องไห้ อย่ารำพัน อย่าพิรี้พิไร สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก ให้ทำคุณงามความดีแล้วอุทิศส่วนกุศลหากัน ความอุทิศส่วนกุศลหากันอันนี้ต่างหากที่เป็นบุญกุศล

คิดถึงเราคิดได้ คิดในแง่บวก คิดจะทำคุณงามความดี วัฏฏะมันเป็นอย่างนี้ คนเราเกิดมา สิ่งที่เกิดขึ้นมา “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับเป็นธรรมดา” นี่เป็นวัตถุ แต่ความรู้สึกที่มันทุกข์ขึ้นมา มันก็เกิดเป็นธรรมดา แล้วมันก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา แต่เราไม่เคยเห็นมัน แต่เราก็ย้ำคิดย้ำทำ เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็แสบ เดี๋ยวก็ร้อนอยู่อย่างนั้น ประสาเราเห็นไหม

การที่คิด ถ้าเราไม่เข้าใจอย่างนี้ เราก็จะอยู่กับมันตลอดไป “สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา” มันเกิดเป็นธรรมดา ต้องดับเป็นธรรมดา เพราะอะไร? เพราะเราไม่เข้าใจมัน ถ้าเราจะเข้าใจมัน เห็นไหม เรามาทำบุญกุศลกัน ทำบุญกุศลเพื่ออะไร? เพื่อให้หัวใจนี่มันสนใจนะ

ดูช่างเขาจะปั้นหม้อสิ ดูเขาจะประกอบรถยนต์ขึ้นมาแต่ละคันสิ เขาต้องหาส่วนประกอบของรถยนต์ขึ้นมาใช่ไหม คนเขาจะปั้นหม้อปั้นไห เขาต้องหาดินขึ้นมาใช่ไหม ได้ดินมาแล้วถ้านวดดินไม่ดี ก็จะปั้นขึ้นมาด้วยใช่ไหม

หัวใจก็เหมือนกัน เวลามันเกิดมันดับ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ความทุกข์เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ความเศร้าหมองเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่รู้มันเกิดอย่างไร มันดับอย่างไร ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะอะไร? เพราะเราไม่มี นี่ประกอบรถยนต์ก็ไม่มีอุปกรณ์ ไม่มีส่วนประกอบของมัน จะปั้นหม้อปั้นไหก็ไม่มีอะไรเลย เพราะมันเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรม ศาสนามันสำคัญอย่างนี้ไง ธรรมๆ สำคัญอย่างนี้

แล้วนึกว่ามายานะ โลกนี้เป็นโลกของมายา สิ่งที่เกิดต่างๆ เกิดดับๆ นี่ อาการของใจไม่ใช่ตัวใจ ถ้าตัวใจ ตัวใจคือตัวความรู้สึก ตัวความรู้สึก ตัวฐานของความคิด ความคิดมันมาจากไหน ความทุกข์นี้มาจากไหน? ความทุกข์มันมาจากฟ้าหรือ? ความทุกข์มันมาจากภูเขาเลากาที่ไหน? ความทุกข์มันเกิดจากใจเรานี่แหละ เวลาเราพอใจทำไมมีความสุขล่ะ ความรู้สึกเกิดขึ้นมาเราพอใจไหม ความสุขเกิดมาจากอะไร? เกิดจากอามิส เกิดจากสิ่งที่มันกระทบแล้วมันพอใจ ความสุขล่ะ ความสุขเกิดจากการสะสม การขัดแย้งของหัวใจ มันไม่พอใจเลยผลักไส เป็นความทุกข์ เห็นไหม

ความทุกข์เป็นสภาวะแบบนี้ ความสุขเป็นความพอใจ เป็นสิ่งต่างๆ ขึ้นมา มันเกิดมาจากไหน? ก็เกิดมาจากหัวใจ แล้วหัวใจอยู่ที่ไหนล่ะ เห็นไหม เพราะอะไร?

เพราะเราไม่เคยศึกษาธรรมะ เราไม่เคยเห็นว่าธรรมนี้คืออะไร อยู่แต่มายากัน มายานะ มารยาทสังคม โลกนี้เป็นโลกมารยาทสังคม ต้องมีมารยาท ต้องมีสิ่งเป็นคุณงามความดี มารยาทนี่กิเลสมันอาศัยมารยาทออกหากินกัน กิเลสมันออกหากินตรงไหน? ออกหากินตรงเกิดมาจากใจ แต่มันไม่อยู่ที่ใจนะ มันอยู่ที่อาการความรู้สึกไง มันออกมาอาการของใจ ออกไปความรู้สึกอันนี้ มันก็ไปหาเหยื่อกันมา แล้วก็เอาความทุกข์มาให้หัวใจ เห็นไหม

แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ เป็นธรรม นี่ข้อวัตรปฏิบัติ โลกทำมาสิ่งนี้อาหารสุดยอดเลย สิ่งนี้ดีงามมากเลย ทำไมเรามาลงอยู่ในบาตรเดียวกันล่ะ เพราะอะไร? เพราะลงมาในกระเพาะ กระเพาะเดียวกันไง คือว่าเราฉันอาหารกันเพื่อดำรงชีวิต เราไม่ได้ฉันอาหารเพื่อบำรุงกิเลส ถ้าบำรุงกิเลส เห็นไหม กิเลสมันจะอ้วนๆ นะ โอ๋...ไอ้อย่างนั้นต้องดีมาก ของประเสริฐเลอเลิศขึ้นมาต้องแยกไว้ต่างหากนะ เดี๋ยวต้องอย่างนี้ เห็นไหม ฉันโดยกิเลส ฉันโดยความกิเลส มันก็เป็นสภาวะของกิเลส

สิ่งนี้คือขัดแย้งมัน ขัดแย้งมันเพื่ออะไร? นี่ไงจะปั้นหม้อปั้นไหไง เราจะปั้นหม้อเราต้องมีดินใช่ไหม เราต้องนวดดินของเราให้ดีใช่ไหม นี่เรานวดมัน นวดหัวใจไง ให้หัวใจมันควรแก่การงาน ถ้าหัวใจไม่ควรแก่การงาน หัวใจเป็นโลก พูดถึงถ้าหัวใจเป็นโลก ก็อย่างที่ว่านี่ หัวใจเป็นโลกมันก็เรื่องของโลก เห็นไหม เราต้องมีความมั่นคงของชีวิต ชีวิตเราต้องยืนยาว เราจะมีความสุขในชีวิตนี้ ชีวิตนี้เป็นชีวิตของเรา

เราเกิดมาจากบุญกุศลนะ จิตนี้มันต้องเกิดโดยธรรมชาติของมัน ถ้าไม่เกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นสัตว์นรกต่างๆ มันต้องเกิดของมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่พอเราเกิดเป็นมนุษย์นี่ เพราะอะไร? เพราะมนุษย์มีร่างกายกับหัวใจ ร่างกายนี่มันบีบคั้น ดูสิ เวลาเราทุกข์ขึ้นมา ร่างกายมันบีบคั้นตลอดเวลานะ เวลาหิวอาหารนี่ คนเราอยู่ทางโลก เราหิว เรากระหาย เราต้องหามาเสพใช่ไหม เพื่อจะให้ความหิวกระหายมันผ่อนคลายไป

แต่เวลาพระเรา ออกบิณฑบาตมานี่ เต็มบาตรมาๆ จะฉันอย่างไรก็ได้ ทำไมอดอาหารกันล่ะ ทำไมผ่อนอาหารกันล่ะ เห็นไหม ความหิวกระหายของทุกข์ยากอันหนึ่ง ความหิวกระหายเพื่อจะต้องการทรมานกิเลส เพื่อจะปั้นหม้อปั้นไหอีกอันหนึ่ง ความหิวกระหายอย่างนี้เราพอใจจะหิว หิวเพราะอะไร? หิวเพราะเวลาเรานั่งสมาธิภาวนากัน เราจะนวดดินขึ้นมา ดินมันไม่สมควร ดินมันไม่มี น้ำมันไม่พอ มันไม่ได้แช่ไว้ มันเป็นก้อน ดินมันนวดไม่ได้ ดินมันไม่สมควรปั้นหม้อปั้นไห เห็นไหม เราต้องเติมดิน เติมน้ำ ต้องรอเวลาให้น้ำกับดินซึมเข้าหากัน ให้มันย่อยสลาย

นี่ก็เหมือนกัน เราอดอาหารเพื่อจะไม่ให้นั่งสัปหงกโงกง่วง เราอดอาหารขึ้นไปพอจิตมันสงบขึ้นมา เวลาลงสมาธิขึ้นมาสมาธิในหัวใจของเรานี่ สมาธิมันอยู่ที่ไหน สมาธิในตำรามันเป็นตัวอักษร สมาธิมันเป็นความรู้สึก พอจิตสงบขึ้นมา โอ้โหๆ... เห็นไหม โอ้โหนี่เกิดมาจากไหน เกิดมาจากอดนอนผ่อนอาหาร เกิดมาจากความเพียร เกิดมาจากการต่อสู้ เกิดมาจากการขัดแย้ง เกิดจากการไม่ตามกิเลสมันไป

แต่โลกไม่ได้ โลกบอกอย่างนี้เป็นความทุกข์ โลกนี้ต้องปรนเปรอมัน ต้องเอาอย่างนี้มาส่งเสริมมัน ส่งเสริมนี่เป็นความสุขเห็นไหม อวดกันว่าใครมีวาสนามาก ใครมีสมบัติมาก สมบัติมากมีแต่ทุกข์มากๆ เพราะมันต้องเก็บรักษา ต้องสงวนรักษา เห็นไหม ตัวเลขมีขนาดนี้แล้ว สิ้นปีแล้วมันจะงอกเงยมาขนาดไหน ไม่งอกเงยมาก็เป็นความทุกข์ความยาก มันก็กระดาษทั้งนั้น สมมุติมันเสื่อมค่า มันธรรมชาติของมัน เห็นไหม

มีบุญกุศล เรามีก็มีของเรา คนมีบุญกุศล เห็นไหม จักรพรรดิ ดูสิ ทุกอย่างเป็นแก้วหมดเลย จักรพรรดิ เห็นไหม ขุนคลังแก้ว ขุนนางแก้ว ขุนพลแก้ว ทุกอย่างมันประเสริฐไปหมด เพราะอะไร? เพราะอำนาจวาสนา

นี่ก็เหมือนกัน สมบัติของเรา ถ้ามันมีมาก เราบำรุงรักษา ดูสิ สมบัติเรา เก็บๆ คนที่มีบุญกุศล เห็นไหม สมบัติอยู่ครบตลอดเลย คนที่มีบาป เคยทำบาปทำกรรมมาบ้าง เห็นไหม มีสมบัติคนนู้นลัก คนนู้นฉก คนนี้ขโมย คนนี้ตอด มันเป็นธรรมชาติอย่างนี้ คนไม่เหมือนกันนะ ถึงเวลากรรมมันให้ผลแปลกมหัศจรรย์มาก เวลากรรมมันให้ผลนะ อยู่ที่ไหนมันก็พ้นไม่ได้

ดูสิ ดูสุปปพุทธะ เวลาฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่พอใจขัดแย้งกัน เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบิณฑบาต ไปขวางทางไว้ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “อีก ๗ วันเท่านั้น สุปปพุทธะต้องโดนธรณีสูบ” พอฟังข่าวขึ้นมา ไปอยู่บนปราสาท จะมาสูบได้อย่างไรอยู่บนปราสาทเลย บนปราสาทแล้วก็เอาทหารมาคุ้มกันไว้ด้วย ไม่ให้ออกมา เห็นไหม

แต่ถึงคราวแล้วนี่ ม้า... ม้าคือสิ่งที่รักที่สุด นักรบ ขุนศึกจะรักม้าของตัวเองมาก แล้วม้าตัวนี้เวลามันพยศขึ้นมา ต้องเจ้าของลูบหัวเท่านั้น มันถึงจะยอมละพยศ ไม่อย่างนั้นมันจะพยศอยู่อย่างนี้ ถึงเวลาแล้วนี่ ขนาดหลบหลีกมาได้ ๗ วัน หลบหลีกไม่ไปไหนเลย แต่เวลาม้ามันพยศขึ้นมา คิดถึงมัน ต้องไปปลอบมัน ออกมา พอเปิดประตูออกมา ธรณีสูบไปเลย เห็นไหม หนีไม่พ้น ถ้ากรรมนะ หนีไม่พ้น หนีขนาดไหน หนีไปอยู่ไหนก็ไม่พ้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยนะ “ให้ไปอยู่บนเมฆก็ไม่พ้น ไปอยู่บนสวรรค์ พรหมชั้นไหนก็ไม่พ้น ธรณีต้องสูบแน่นอน” เวลามันเกิดขึ้นมาสภาวะแบบนั้น นี่กรรมของเขาสร้างกันมา

นี่ก็เหมือนกัน กรรมของเรานะ ถ้าเราทำคุณงามความดี กรรมของเรา กรรมอย่างที่เราเห็นกัน เวลาวัตถุภายนอก กรรมสิ่งนี้เวลาเกิดขึ้นมา มันทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา แต่เวลากรรมจากภายในล่ะ มันเศร้าหมอง มันผ่องใส มันอับเฉา มันรื่นเริง มันอาจหาญ มันความสุขในหัวใจนี่ เห็นไหม สิ่งนี้เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์จากภายใน มันทรัพย์ของหัวใจ

เวลาเราตายไปแล้ว ว่าตายแล้วสูญ สูญแล้วไม่มี ถ้าสูญไม่มี ทำไมกลัวผีล่ะ เราไปกลัวเขาทำไม เรากลัวเพราะจิตใต้สำนึกมันยอมรับบอกว่ามี แต่กิเลสมันบอกว่าไม่มีไง เวลาเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เห็นไหม นี่โอปปาติกะ เกิดสภาวะแบบนั้น เขาก็มีความสุขของชั่วคราว ชั่วคราวนะ เพราะทุกสิ่งสรรพสิ่งต่างๆ มีการเกิดต้องมีการดับเป็นธรรมดา จะเกิดเป็นอะไรก็แล้วแต่ต้องดับเป็นธรรมดา จะเกิดในวัฏจักรนี้ เกิดแล้วต้องตายหมด

ถ้าเราภาวนาขึ้นไปจนเห็นสภาวะแบบนั้น เราทำเชื้อไขอันนี้ เห็นไหม เชื้อไขเริ่มต้นของความคิด ความคิดมาจากไหน ความทุกข์มาจากไหน มาจากภวาสวะ มาจากฐานของใจ เห็นไหม ภพชาติที่เราว่า เราเป็นชาติไทย ชาติไทย ชาติจีน ชาติต่างๆ สัญชาติอย่างนี้มันสมมุติ มันโอนสัญชาติได้ แต่ชาติการเกิดนี่โอนไม่ได้

แล้วถ้าเข้าไปทำลายปฏิสนธิจิต จิตที่มันเกิดขึ้นมา เกิดตายนี่ มันเข้าไปหามันได้อย่างไร แล้วชำระกิเลสอย่างไร แล้วมันสะอาดอย่างไร บริสุทธิ์อย่างไร แล้วมันอยู่กลางหัวอกเรานี่ มันบริสุทธิ์ได้อย่างไร เวลาทุกข์มันทุกข์อย่างไร กลางหัวใจเรานี่ ทุกข์ๆ มากๆ นี่ แล้วมันสะอาดได้อย่างไร เห็นไหม มรรคญาณมันเกิด อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคเกิดอย่างไร สัจธรรมนี่ ศาสนาประเสริฐอย่างนี้ เห็นไหม เรามาทำบุญกุศลกันเพื่อเหตุนี้ไง เพื่อให้ใจควรแก่การงาน เพื่อการย้อนกลับมาหัวใจของเรา

แล้วบุญกุศลกลับมา เห็นไหม อุทิศส่วนกุศลให้คนอื่นได้ด้วย เทียนเราจุดไว้เล่มหนึ่ง เทียนเราสว่างขึ้นมา จะต่อให้ใครก็ได้ เราไม่มีเทียนเลย ไฟก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี สมมุติว่ามี แล้วก็ตื่นบ้ากันไป เห็นไหม แต่ถ้าเราทำของเราขึ้นมา มันจะย้อนกลับเข้ามาๆ การกระทำแบบนี้ ศาสนาพุทธนี่สำคัญมาก สำคัญที่ว่าตนเอาตนไว้ในอำนาจของตน ประเสริฐที่สุด ทุกคนเป็นคนดีที่สุด เห็นไหม

แต่เราไปมองสังคม ว่าสังคมต้องดีก่อน แต่ถ้าคนทุกคนเป็นคนดีทั้งหมด ทุกคนเป็นคนที่เมตตาทั้งหมด ทุกคนที่ไม่เบียดเบียนกันทั้งหมด สังคมจะมีความสุขมากขนาดไหน สังคมสุขขนาดไหน ฟังดูสิ ถ้าสังคมทุกคนเป็นคนดีหมด ทุกคนมีความเมตตาหมด สังคมจะมีความสุขขนาดไหน แต่นี่มันมายา มันมายาทั้งนั้น ว่าเป็นคนดีๆ ดีที่ไหน กิเลสพาดี ดีเอาเปรียบเขา ดีทำลายเขา ดีความดีเป็นประโยชน์กับใคร เห็นไหม

เรื่องของกิเลสกับเรื่องของธรรม โลกกับธรรมอยู่ด้วยกัน ความรู้สึก กายกับใจอยู่ด้วยกัน แล้วเราจะเลือกอะไร เราจะทำอย่างไร เราจะรักษาอย่างไร เราย้อนกลับมา แล้วเราชนะเรา เห็นไหม เราต้องเอาชนะเราให้ได้ก่อน “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” แล้วตนจะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้นกกาอาศัย ตนไม่สามารถยืนได้ ตนไม่สามารถเป็นที่พึ่งแห่งตน นกกามันวิ่งหนีหมด เพราะมันต้องไปประคองต้นไม้นั้น มันบินประคองไม่ไหวหรอก เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน เราต้องเอาใจของเราให้ได้ เราจะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ต้องเป็นที่พึ่งของเราให้ได้ก่อน ถ้าเป็นที่พึ่งของเราแล้วนะ เราพยายามค้นหาความชั่วของเรา ไม่มีนะ เขาจะมาพึ่งพาอาศัยเรา ความชั่วกองเต็มหัวใจเลย แล้วปิดไว้ จะไม่ให้คนอื่นเห็น เป็นไปไม่ได้ เอวัง